สิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นสิทธิเฉพาะตัว นำมาหักไม่ได้ 1
อัพเดทล่าสุด: 29 พ.ค. 2024
388 ผู้เข้าชม
สิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นสิทธิเฉพาะตัว นำมาหักไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2529
คำพิพากษาย่อสั้น
เมื่อจำเลยต้องรับผิดในผลของการกระทำละเมิดแล้วก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เต็มจำนวน แม้โจทก์จะมีสิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการได้ก็เป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ จำเลยจะนำมาหักความรับผิดของตนหาได้ไม่
จำเลยที่ 1 ขอเลื่อนคดีมา 1 ปีเศษ จึงนำพยานเข้าสืบได้ปากเดียว ศาลสั่งงดเพราะเห็นว่าเป็นการประวิงคดีนั้นเป็นดุลพินิจที่ชอบแล้ว
ผู้ขับรถยนต์ทั้งสองฝ่ายชนกันโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียหายและไม่อาจแบ่งแยกผลของการละเมิดแต่ละฝ่ายใดประมาทมากน้อยกว่ากัน ศาลมีอำนาจกำหนดให้เฉลี่ยความรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายฝ่ายละเท่าๆ กันได้
คำพิพากษาย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาและเรียกโจทก์สำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 1 สำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 3
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นกรมในรัฐบาลเป็นเจ้าของรถยนต์คันที่เสียหาย โจทก์ที่ 2 ที่ 3 เป็นข้าราชการสังกัดกรมโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ให้จำเลยที่ 3 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 และที่ 4 ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ที่ 1 โดยมีโจทก์ที่ 3 เป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ที่ 1 เสียหายและโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้รับบาดเจ็บขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้อง เหตุที่เกิดรถชนกันเกิดจากโจทก์ที่ 3 ขับรถยนต์โดยประมาท โจทก์ทั้งสามเรียกค่าเสียหายสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ไม่ใช่ลูกจ้างและปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 เหตุที่เกิดรถยนต์ชนกันเพราะความประมาทของโจทก์ที่ 3 โจทก์ทั้งสามเรียกค่าเสียหายมาสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 60,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 93,978 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 1,256 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 46,989 บาท และให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 46,989 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 4 ต่างประมาทไม่น้อยกว่ากันและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า โจทก์ที่ 2 เป็นข้าราชการมีสิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลเพราะความป่วยเจ็บได้โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยที่ 1 เต็มจำนวน และการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ส่งประเด็นไปสืบที่ศาลจังหวัดนครปฐมเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดในผลของการกระทำละเมิดแล้วก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เต็มจำนวน ส่วนที่โจทก์จะมีสิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลได้หรือไม่นั้นเป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ จำเลยจะนำมาหักความรับผิดของตนหาได้ไม่ ส่วนที่ศาลล่างสั่งงดสืบพยานจำเลยที่ 1 นั้น ก็เพราะจำเลยที่ 1 ได้ขอเลื่อนคดีมาเรื่อยเป็นเวลา 1 ปีเศษ จึงนำพยานเข้าสืบได้ปากเดียว จึงสั่งงดเพราะเห็นว่าเป็นการประวิงคดี คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานนั้นเห็นว่าเป็นดุลพินิจที่ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาต่อไปตามที่โจทก์ที่ 1 ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ให้เฉลี่ยความรับผิดของจำเลยทั้งสี่ โดยให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 30,000 บาท และให้จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 30,000 บาท เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่อาจแบ่งแยกผลของการละเมิดว่าจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ฝ่ายใดประมาทมากน้อยกว่ากัน จึงกำหนดให้เฉลี่ยความรับผิดฝ่ายละเท่ากันนั้นเห็นว่าชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง :
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40
ผู้พิพากษา :
สมศักดิ์ เกิดลาภผล
อำนวย อินทุภูติ
ดำริ ศุภพิโรจน์
แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2529
คำพิพากษาย่อสั้น
เมื่อจำเลยต้องรับผิดในผลของการกระทำละเมิดแล้วก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เต็มจำนวน แม้โจทก์จะมีสิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการได้ก็เป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ จำเลยจะนำมาหักความรับผิดของตนหาได้ไม่
จำเลยที่ 1 ขอเลื่อนคดีมา 1 ปีเศษ จึงนำพยานเข้าสืบได้ปากเดียว ศาลสั่งงดเพราะเห็นว่าเป็นการประวิงคดีนั้นเป็นดุลพินิจที่ชอบแล้ว
ผู้ขับรถยนต์ทั้งสองฝ่ายชนกันโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียหายและไม่อาจแบ่งแยกผลของการละเมิดแต่ละฝ่ายใดประมาทมากน้อยกว่ากัน ศาลมีอำนาจกำหนดให้เฉลี่ยความรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายฝ่ายละเท่าๆ กันได้
คำพิพากษาย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาและเรียกโจทก์สำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 1 สำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 3
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นกรมในรัฐบาลเป็นเจ้าของรถยนต์คันที่เสียหาย โจทก์ที่ 2 ที่ 3 เป็นข้าราชการสังกัดกรมโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ให้จำเลยที่ 3 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 และที่ 4 ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ที่ 1 โดยมีโจทก์ที่ 3 เป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ที่ 1 เสียหายและโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้รับบาดเจ็บขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้อง เหตุที่เกิดรถชนกันเกิดจากโจทก์ที่ 3 ขับรถยนต์โดยประมาท โจทก์ทั้งสามเรียกค่าเสียหายสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ไม่ใช่ลูกจ้างและปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 เหตุที่เกิดรถยนต์ชนกันเพราะความประมาทของโจทก์ที่ 3 โจทก์ทั้งสามเรียกค่าเสียหายมาสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 60,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 93,978 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 1,256 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 46,989 บาท และให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 46,989 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 4 ต่างประมาทไม่น้อยกว่ากันและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า โจทก์ที่ 2 เป็นข้าราชการมีสิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลเพราะความป่วยเจ็บได้โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยที่ 1 เต็มจำนวน และการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ส่งประเด็นไปสืบที่ศาลจังหวัดนครปฐมเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดในผลของการกระทำละเมิดแล้วก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เต็มจำนวน ส่วนที่โจทก์จะมีสิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลได้หรือไม่นั้นเป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ จำเลยจะนำมาหักความรับผิดของตนหาได้ไม่ ส่วนที่ศาลล่างสั่งงดสืบพยานจำเลยที่ 1 นั้น ก็เพราะจำเลยที่ 1 ได้ขอเลื่อนคดีมาเรื่อยเป็นเวลา 1 ปีเศษ จึงนำพยานเข้าสืบได้ปากเดียว จึงสั่งงดเพราะเห็นว่าเป็นการประวิงคดี คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานนั้นเห็นว่าเป็นดุลพินิจที่ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาต่อไปตามที่โจทก์ที่ 1 ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ให้เฉลี่ยความรับผิดของจำเลยทั้งสี่ โดยให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 30,000 บาท และให้จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 30,000 บาท เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่อาจแบ่งแยกผลของการละเมิดว่าจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ฝ่ายใดประมาทมากน้อยกว่ากัน จึงกำหนดให้เฉลี่ยความรับผิดฝ่ายละเท่ากันนั้นเห็นว่าชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง :
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40
ผู้พิพากษา :
สมศักดิ์ เกิดลาภผล
อำนวย อินทุภูติ
ดำริ ศุภพิโรจน์
แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
บทความที่เกี่ยวข้อง